
Just an Idea : ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ FSA@FPO.GO.TH กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง "เรื่องวิกฤตการณ์ Subprime ของสหรัฐ และผลกระทบต่อประเทศไทย" ที่กระทรวงพาณิชย์ จึงขออนุญาตนำประเด็นสำคัญๆ มาเล่าให้ฟังโดยสรุปดังนี้
หนึ่ง วิกฤตการณ์ Subprime
Subprime Lending หมายถึง สินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ลูกหนี้คุณภาพต่ำ ที่ไม่สามารถกู้ยืมผ่านตลาดสินเชื่อปกติได้ เพราะมีประวัติการกู้ยืมไม่ดีพอ เป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้คืนสูง ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ให้กู้ยืมจะสูงกว่าปกติ Subprime Lending ในสหรัฐ เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันลูกค้า Subprime คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของประชากรสหรัฐ
สอง สาเหตุของการเกิดวิกฤตการณ์ Subprime
ในภาพรวม ผู้ที่เกี่ยวข้องและก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ Subprime แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ผู้กู้เงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆ ตลาดเงิน รัฐบาลและธนาคารกลาง สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ Subprime ได้แก่ ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแตกต่างไปจากเดิม โดยธนาคารสามารถขายตราสารหนี้ เพื่อนำเงินมาปล่อยสินเชื่อได้ จึงมีการนำตราสารหนี้ Subprime ไปขายแก่สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ และนำเงินมาปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้ที่มีประวัติการกู้ไม่ดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนสูง
นอกจากนี้ การให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยบางประเภท กำหนดให้ชำระเงินคงที่ 2 ปีแรก หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น (Balloon Mortgages) ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินหลังจากปีที่สองได้ ทำให้เกิดหนี้เสียขึ้นเป็นจำนวนมาก Subprime Lending ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในสหรัฐ ในปี 2549 1 ใน 5 ของที่อยู่อาศัยเป็นลูกค้า Subprime และในปี 2550 Subprime Mortgage มีมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
ปัญหาการไม่สามารถชำระเงินได้ของลูกหนี้ Subprime ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ Subprime และมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัย ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำลง เกิดการถดถอยในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สถาบันการเงินเกิดการขาดทุน จากการที่ราคาตราสารที่มี Subprime เป็น Underlying Asset ลดลง ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เพราะกังวลต่อความเสี่ยงของหนี้เสียที่เกิดจาก Subprime ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยรวม และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ จะเหลือเพียงประมาณร้อยละ 1-1.5 ต่อปี
สาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักประมาณร้อยละ 70 ของ GDP โดยสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐได้มีแนวโน้มลดลงจาก 16% ในปี 2547 เหลือ 12.6% ในปี 2550 โดยตลาดส่งออกของไทยได้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น อาเซียน ยุโรป หรือตะวันออกกลาง
นอกจากนั้น ประเทศในเอเชียได้มีการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งแสดงว่าประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยได้ค่อยๆ แยกตัวออกจากการพึ่งพาเศรษฐกิจของสหรัฐ (Decouple) มากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยมีระบบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น การขยายตัวมากขึ้นของภาคการเงินอื่นนอกเหนือจากสถาบันการเงิน เช่น ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ระบบการกำกับดูแลภาคการเงินที่มีมาตรฐานสากลมากขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงคาดว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมตัวและปรับตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สี่ ผลกระทบต่อระบบการเงินของไทย
สถาบันการเงินของไทยที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน (Collateralized Debt Obligation : CDO) ซึ่งมี Subprime Lending เป็น Underlying Asset มีน้อย ดังนั้น ผลกระทบต่อระบบการเงินโดยตรงของไทยจะมีน้อยมาก แต่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากตลาดเงินโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น และผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลงมาก ซึ่งอาจจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ห้า แนวทางการรับมือ
สำหรับในประเทศไทยควรกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้เพิ่มขึ้น เช่น การกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และส่งเสริมให้มีการลงทุนในต่างประเทศเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออก
การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ
เพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจระหว่างประเทศผันผวน หรืออิงกับสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ มากเกินไป (ปัจจุบัน เอเชียส่งออกไปสหรัฐ ร้อยละ 60 ของ GDP) ประเทศในเอเชียต้องร่วมมือกันส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น และร่วมมือกันรับความผันผวนจากตลาดเงินเพื่อให้เกิดการ Decouple จากระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
สรุปแล้วเราคงต้องติดตามการรับมือและการแก้ไขปัญหาของสหรัฐ ที่มีการออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ว่า จะสามารถเยียวยา และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้ได้มากน้อยเพียงใด และปัญหาการขยายตัวของหนี้เสียของลูกหนี้ Subprime ไปสู่ลูกหนี้ชั้นดีและสินเชื่อประเภทอื่นๆ จะควบคุมได้หรือไม่ และคาดว่า ปัญหา Subprime จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ต่อไปอีกประมาณ 1-2 ปี
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง "เรื่องวิกฤตการณ์ Subprime ของสหรัฐ และผลกระทบต่อประเทศไทย" ที่กระทรวงพาณิชย์ จึงขออนุญาตนำประเด็นสำคัญๆ มาเล่าให้ฟังโดยสรุปดังนี้
หนึ่ง วิกฤตการณ์ Subprime
Subprime Lending หมายถึง สินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ลูกหนี้คุณภาพต่ำ ที่ไม่สามารถกู้ยืมผ่านตลาดสินเชื่อปกติได้ เพราะมีประวัติการกู้ยืมไม่ดีพอ เป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้คืนสูง ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ให้กู้ยืมจะสูงกว่าปกติ Subprime Lending ในสหรัฐ เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันลูกค้า Subprime คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของประชากรสหรัฐ
สอง สาเหตุของการเกิดวิกฤตการณ์ Subprime
ในภาพรวม ผู้ที่เกี่ยวข้องและก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ Subprime แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ผู้กู้เงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆ ตลาดเงิน รัฐบาลและธนาคารกลาง สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ Subprime ได้แก่ ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแตกต่างไปจากเดิม โดยธนาคารสามารถขายตราสารหนี้ เพื่อนำเงินมาปล่อยสินเชื่อได้ จึงมีการนำตราสารหนี้ Subprime ไปขายแก่สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ และนำเงินมาปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้ที่มีประวัติการกู้ไม่ดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนสูง
นอกจากนี้ การให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยบางประเภท กำหนดให้ชำระเงินคงที่ 2 ปีแรก หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น (Balloon Mortgages) ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินหลังจากปีที่สองได้ ทำให้เกิดหนี้เสียขึ้นเป็นจำนวนมาก Subprime Lending ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในสหรัฐ ในปี 2549 1 ใน 5 ของที่อยู่อาศัยเป็นลูกค้า Subprime และในปี 2550 Subprime Mortgage มีมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
ปัญหาการไม่สามารถชำระเงินได้ของลูกหนี้ Subprime ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ Subprime และมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัย ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำลง เกิดการถดถอยในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สถาบันการเงินเกิดการขาดทุน จากการที่ราคาตราสารที่มี Subprime เป็น Underlying Asset ลดลง ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เพราะกังวลต่อความเสี่ยงของหนี้เสียที่เกิดจาก Subprime ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยรวม และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ จะเหลือเพียงประมาณร้อยละ 1-1.5 ต่อปี
สาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักประมาณร้อยละ 70 ของ GDP โดยสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐได้มีแนวโน้มลดลงจาก 16% ในปี 2547 เหลือ 12.6% ในปี 2550 โดยตลาดส่งออกของไทยได้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น อาเซียน ยุโรป หรือตะวันออกกลาง
นอกจากนั้น ประเทศในเอเชียได้มีการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งแสดงว่าประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยได้ค่อยๆ แยกตัวออกจากการพึ่งพาเศรษฐกิจของสหรัฐ (Decouple) มากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยมีระบบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น การขยายตัวมากขึ้นของภาคการเงินอื่นนอกเหนือจากสถาบันการเงิน เช่น ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ระบบการกำกับดูแลภาคการเงินที่มีมาตรฐานสากลมากขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงคาดว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมตัวและปรับตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สี่ ผลกระทบต่อระบบการเงินของไทย
สถาบันการเงินของไทยที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน (Collateralized Debt Obligation : CDO) ซึ่งมี Subprime Lending เป็น Underlying Asset มีน้อย ดังนั้น ผลกระทบต่อระบบการเงินโดยตรงของไทยจะมีน้อยมาก แต่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากตลาดเงินโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น และผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลงมาก ซึ่งอาจจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ห้า แนวทางการรับมือ
สำหรับในประเทศไทยควรกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้เพิ่มขึ้น เช่น การกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และส่งเสริมให้มีการลงทุนในต่างประเทศเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออก
การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ
เพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจระหว่างประเทศผันผวน หรืออิงกับสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ มากเกินไป (ปัจจุบัน เอเชียส่งออกไปสหรัฐ ร้อยละ 60 ของ GDP) ประเทศในเอเชียต้องร่วมมือกันส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น และร่วมมือกันรับความผันผวนจากตลาดเงินเพื่อให้เกิดการ Decouple จากระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
สรุปแล้วเราคงต้องติดตามการรับมือและการแก้ไขปัญหาของสหรัฐ ที่มีการออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ว่า จะสามารถเยียวยา และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้ได้มากน้อยเพียงใด และปัญหาการขยายตัวของหนี้เสียของลูกหนี้ Subprime ไปสู่ลูกหนี้ชั้นดีและสินเชื่อประเภทอื่นๆ จะควบคุมได้หรือไม่ และคาดว่า ปัญหา Subprime จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ต่อไปอีกประมาณ 1-2 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น